Responsive image Responsive image

ขนข้าวเปลือกเข้าวัด

12 เมษายน 2562



ขนข้าวเปลือกเข้าวัด 
ประเพณีเก่าที่หายไปจากคลองนกกระทุง 60 ปี 


เราอาจจะเคยได้ยินประเพณีขนทรายเข้าวัด หรืองานก่อเจดีย์ทรายกันในช่วงวันสงกรานต์ ตามความเชื่อที่ว่าคนในชุมชนต้องร่วมกันขนทรายที่เคยเดินติดเท้าออกมาตลอดทั้งปีกลับไปคืนวัด และได้ร่วมด้วยช่วยกันสร้างบุญไปด้วยกันทั้งชุมชน แต่ถ้าบอกว่าเรามีประเพณีขนข้าวเปลือกเข้าวัดด้วยล่ะ คงจะนึกไม่ออกกันใช่ไหมว่าเป็นประเพณีแบบไหน 

เมื่อวันมาฆบูชาที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเห็นและไปร่วมประเพณีเก่าที่เคยถูกกลืนหายไปฟื้นคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง จากที่ตั้งใจว่าจะแค่ไปเวียนเทียน ฟังเทศน์มหาชาติ เดินเที่ยวงานวัดใต้แสงจันทร์แบบซูเปอร์ฟูลมูน เรายังโชคดีมีโอกาสได้เห็นประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือกที่ว่านี้ด้วยตาของตัวเอง



ไม่รู้จักวัดบางภาษี ไม่รู้จักประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือก
ที่วัดเก่าแก่ซึ่งอยู่ในตำบลคลองนกกระทุง อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ในวันมาฆบูชา ที่วัดมีงานประจำปีนมัสการปิดทองหลวงพ่อบุญเรือน เลยยิ่งทำให้บรรยากาศในวัดดูคึกคักเป็นพิเศษ มีร้านค้าตลอดฝั่งซ้ายขวา มีมุมตักไข่ลุ้นรางวัล แล้วก็มีเทศน์มหาชาติในช่วงค่ำด้วย แต่ถัดจากบริเวณโรงทานไปไม่ไกล เราก็ได้พบกับกองเจดีย์ข้าวเปลือก มีป้ายติดอยู่ด้านหลังว่า “งานประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือก 18-19 กุมภาพันธ์ 2562” ขณะที่ยังยืนงงอยู่กลางแดดนั้น ก็มีชาวบ้านที่ดูแลพิธีก่อเจดีย์ข้าวเปลือก เดินเข้ามาชวนทำบุญเวียนข้าวเปลือก บูชาแม่โพสพ เราจึงไม่รอช้ารีบเอ่ยถามกลับไปทันทีว่า ประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือกในวันนี้คืออะไร? และผู้ที่มาไขความสงสัยให้กับเราก็คือ คุณป้าประเสริฐ ศรีไต่ขำ และคุณป้านกน้อย ศรีนวลมาก จากกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ตำบลคลองนกกระทุง หนึ่งในแม่งานสำคัญของการจัดงานก่อเจดีย์ข้าวเปลือกวัดบางภาษี



คุณป้าประเสริฐเล่าให้เราฟังว่า ประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือกเป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวนา ที่มีความเกี่ยวข้องกับพระแม่โพสพ เทพธิดาแห่งข้าวอันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวนาสมัยก่อนกราบไหว้บูชา โดยจะมีการประกอบพิธีเซ่นไหว้แม่โพสพตลอดฤดูกาลทำนา ตั้งแต่หว่านดำ ไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งพิธีทั้งหมดจะทำกันที่หัวคันนา ยกเว้นการก่อเจดีย์ข้าวเปลือกที่ชาวนาจะนำข้าวเปลือก ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวไปใส่กระบุงมาร่วมกันก่อเป็นกองเจดีย์เพื่อทำบุญถวายให้กับวัด ด้วยสมัยก่อนชาวนาจะปลูกข้าวเพื่อไว้ทำกิน ทำบุญ และทำทาน ทำกินก็คือการปลูกกิน เหลือกินก็นำไปขายเพื่อนำเงินมาจับจ่ายใช้ส่วน ทำบุญก็คือการถวายวัด ถ้าเมื่อถึงหน้าแล้งไม่มีข้าวรับประทาน ก็กลับมาขอที่วัดได้ ส่วนทำทาน ก็คือการแบ่งปันให้กับคนยากจนเป็นน้ำใจ



หลับตา ย้อนเวลา ไปเที่ยวงานก่อเจดีย์ข้าวเปลือกในอดีต
“แม่เล่าว่าพอถึงเดือน 3 จะมีลมหน้านวล หรือที่เรียกว่าลมว่าว เป็นช่วงที่ลมขึ้น พอเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ เขาก็จะพักที่ดิน เดือนพฤษภาคมฝนตกค่อยเริ่มหว่านกันใหม่ ในช่วงนี้ไม่ได้ทำอะไรนี้ก็จะมาก่อเจดีย์ที่วัดกัน งานจัดตรงกับวันมาฆบูชา มีทั้งหมด 3 วัน วันแรกจะเป็นวันเข้าโรงครัว เตรียมของ ตัดต้นกล้วย ใบมะพร้าว เตรียมสถานที่ วันที่ 2 กับวันที่ 3 ก็เป็นวันงาน จำได้ลาง ๆ ว่ามีชาวบ้านมาร่วมกันเต็มเลย มากันทุกบ้านจริง ๆ ป้าก็เดินตามแม่มา แต่ก่อนไม่มีรถต้องเดินมาอย่างเดียว เดินกันเป็นกิโล ๆ ตกเย็นก็มีรำวง ลิเก โขนเต็มทั้งลานวัดเลย”

“สมัยนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก มีเจดีย์ข้าวเปลือก บายศรีปากชาม ดอกไม้ก็ใช้ดอกบานไม้รู้โรย หรือดอกไม้ที่บ้านไหนมีหรือปลูกกัน บางทีก็ใช้แค่ใบตอง ผลไม้ก็ใช้กล้วยน้ำว้า อ้อย มะพร้าว แล้วมีกระดาษสี ๆ กระดาษเงิน กระดาษทองปักไม้อยู่ด้านบน สัก 4-5 โมงเย็นก็เลิกแล้ว” คุณป้าประเสริฐ เล่าถึงประเพณีก่อเจดีย์ทรายเมื่อครั้งยังเด็ก ๆ หลังจากที่วิถีชีวิตของชาวนาและชาวไทยเริ่มเปลี่ยนไป ประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือกก็ได้ค่อย ๆ เลือนหายไป สำหรับป้าประเสริฐนั้น ก็ยังคงทำพิธีบูชาแม่โพสพที่ผืนนาทำกิน สืบต่อจากแม่เรื่อยมา เมื่อถึงช่วงแรกหว่าน แรกเกี่ยว หรือตอนที่ข้าวเหลืองสุก ก็จะทำพิธีบอกแม่โพสพที่หัวคันนาอยู่เสมอ

“ตอนที่ข้าวเหลืองจะสุกเราก็จะบอกแม่โพสพไม่ต้องตกอกตกใจ เดี๋ยวข้าวสุกแล้ว ลูกจะมาเก็บเกี่ยวแม่โพสพไปขาย ขอให้น้ำหนักดี ก็บอกท่านให้รู้ตัวก่อน ส่วนตัวป้าเชื่อว่า ถ้าเราได้ทำพิธีต่าง ๆ ก็จะทำให้ข้าวดีขึ้น ความเชื่อเหล่านี้เป็นสิ่งที่แม่ปลูกฝังมาให้เรา แม่จะนำรวงข้าวมาขึ้นหิ้งบูชา แล้วก็มีรูปกระดาษรูปพระแม่โพสพถือรวงข้าวตั้งไว้ด้วย สำหรับคนที่ไม่เชื่อเขาก็จะคิดว่าเราอุปาทานไปเอง”



นับหนึ่งถึงสาม การฟื้นกลับมาของประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือก
กว่า 60  ปีที่ประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือกที่สาบสูญไปจากชาวคลองนกกระทุง รวมถึงวิถีชีวิตชาวนาภาคกลางในจังหวัดอื่น ๆ ด้วย ปี 2559 ‘กลุ่มศาลานา ออแกนิก วิลเลจ’ กลุ่มพัฒนาส่งเสริมองค์ความรู้ในเชิงบูรณาการและพัฒนาเกษตรกรแนวคิดสมัยใหม่ เพื่อช่วยขับเคลื่อนระบบเกษตรวิถีธรรมชาติที่ยั่งยืน ได้เข้ามาเป็นหัวเรี่ยวแรงหลักในการริเริ่มจัดงานก่อเจดีย์ข้าวเปลือก โดยมีเป้าหมายอยากจะให้ชาวบ้านได้สานต่อ พร้อมเป็นผู้จัดงานเองในปีต่อ ๆ ไป แล้วยังคอยเป็นตัวเชื่อมให้กลุ่มเกษตรอินทรีย์ ตำบลคลองนกกระทุง กับอาจารย์และกลุ่มเกษตรกรศูนย์เรียนรู้กสิกรรมธรรมชาติของจังหวัดพิจิตร (ที่เพิ่งรื้อฟื้นการก่อเจดีย์ข้าวเปลือกมาก่อนหน้านี้ไม่นาน) ให้ทั้งสองกลุ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดรื้อฟื้นประเพณี เรียนรู้รายละเอียดต่าง ๆ ในพิธี 

นอกจากการก่อเจเดีย์ข้าวเปลือก ทำบุญเวียนเทียนข้าวเปลือก ในวันนี้ยังมีพิธีทำขวัญข้าวไปพร้อมกันด้วย เครื่องบูชาต่าง ๆ ตั้งเตรียมพร้อมอยู่ในบริเวณทำพิธี  อาทิ บายศรีปากชาม ไข่ ขนมต้มแดงต้มขาว กล้วย สับปะรด ส้ม ขนุน ฟักเขียว อ้อย มะพร้าวอ่อน ของที่เป็นชื่อมงคล และมีฉัตรซึ่งทำจากรวงข้าว ซึ่งตั้งตระหง่านอย่างสวยงามด้วย



“ข้าวเปลือกพันธุ์ดีที่ชาวนาช่วยกันเอามารวม ๆ กันเพื่อถวายวัดในครั้งนี้ เป็นข้าวอินทรีย์ นะ เพราะเราทำเรื่องเกษตรอินทรีย์กัน แม้กระทั่งฉัตรซึ่งทำจากรวงข้าว ก็เป็นรวงข้าวจากนาอินทรีย์ด้วย ค่อย ๆ นั่งร้อยทีละช่อ มีทั้งข้าวปทุมเทพ และพันธุ์อื่น ๆ แรก ๆ เราเคยใช้รวงข้าวจากนาเคมีมาทำเป็นช่อ แต่เมล็ดข้าวจะหลุดจากรวงง่ายกว่า” คุณป้านกน้อยเล่าเสริมในฐานะคนที่นั่งร้อยช่อข้าวด้วยตัวเอง “หลังจากที่ถวายข้าวเปลือกให้กับวัด และทำขวัญข้าวเสร็จแล้ว ชาวนาก็จะนำข้าวเปลือกที่ผ่านการทำพิธีจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเก็บไปเป็นมิ่งขวัญอันดี ไว้เป็นปฐมฤกษ์ของที่จะปลูกใหม่ เมื่อพิธีทั้งหมดเสร็จสิ้น ก็จะนำข้าวเปลือกไปสีแล้วนำข้าวสารมาถวายวัดอีกที”


 

ศรี...ศรี...วันนี้วันดี ขอเชิญขวัญแม่โพสพ
ใกล้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงพิธีทำขวัญข้าวแล้ว คุณป้าประเสริฐคงเห็นว่าเราน่าจะพอรู้จักประเพณีนี้ได้พอประมาณแล้ว จึงอยากให้เรารีบไปทำบุญเวียนข้าวเปลือก พร้อมกับยื่นทะนานใส่ข้าวเปลือก (ทะนานเป็นเครื่องตวงอย่างหนึ่งทำจากกะโหลก หรือกะลามะพร้าว) และชะลอมส่งให้เรา ในชะลอมบรรจุข้าวตอก กล้วยน้ำว้า ขนมจันอับ อ้อย ส้ม พร้อมธูปและธง เพื่อนำไปกราบไหว้บูชาด้านหน้ากองเจดีย์ข้าวเปลือก แล้วถือเดินเวียนซ้าย (ทักษิณาวัตร) รอบกองเจดีย์ 3 รอบ พร้อมกับอธิษฐานจิต ขอให้แม่โพสพอำนวยอวยพร ดลบันดาลใจให้สมหวังตามที่ขอพร แล้วเทข้าวเปลือกลงไปในกองเจดีย์ วางชะลอมและเครื่องบูชาด้านหน้ากองเจดีย์ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำบุญเวียนข้าวเปลือก แล้วก็มีเสียงประกาศเริ่มพิธีถวายข้าวเปลือก ต่อด้วยพิธีทำขวัญข้าว โดยในในพิธีทำขวัญจะต้องมีสาวพรหมจารีย์ 1 คนที่เปรียบเสมือนเป็นเทพีแม่โพสพ มานั่งอยู่ในบริเวณที่หมอทำขวัญทำพิธีด้วย สำหรับคนอื่น ๆ ที่มาร่วมพิธีจะนั่งล้อมวงเจดีย์เอาไว้
 
ในพิธีทำขวัญข้าว หมอสุพจน์ เมืองสุพรรณและหมอเหลือง บัวบำเพ็ญ สลับกันเล่าตำนานแม่โพสพ ความสำคัญของแม่โพสพที่มีต่อชาวไทย ขั้นตอนการทำนา 



“ข้าวคือแม่โพสพ คนไทยจึงให้ความเคารพข้าว ไม่ใช้คำหยาบคาย หรือแช่งด่าต้นข้าว เมื่อทำข้าวหกก็จะก้มลงเก็บอย่างเรียบร้อย ไม่ข้าม ไม่เหยียบ ไม่ใช่เท้ากวาดข้าว ควรเก็บไว้ให้เป็นที่เป็นทาง ทั้งข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสุก เมื่อรับประทานก็ทานอย่างเรียบร้อย ไม่เลอะเทอะมูมมาม ทานเสร็จก็ไหว้ขอบคุณแม่โพสพ ถ้านำข้าวไปให้สัตว์กินก็ต้องใส่ภาชนะ หรือมีใบไม้รอง ไม่ทิ้งกองข้าวบนพื้นดิน เป็นวัฒนธรรมทางจิตใจ ที่แสดงถึงความกตัญญู การสืบทอดวัฒนธรรมและความเชื่อให้อยู่สืบไป”

นี่คือบทเรียนที่เราได้จากส่วนหนึ่งของบททำขวัญของหมอเหลือง บัวบำเพ็ญ ที่ฟังแล้วชวนให้เราเห็นคุณค่าของข้าวที่เราเผลอหลงลืมไปจากความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน



แล้วราว ๆ ห้าโมงกว่า ก็ถึงเวลาที่ชาวนาและเรารอคอย ซึ่งก็คือพิธีการเชิญขวัญนั่นเอง บทร้องทำขวัญข้าวแต่ละที่ แม้จะมีเนื้อหาคล้ายกัน คือกล่าวบำรุงขวัญแม่โพสพไม่ให้หนีไปไหน พร้อมของบำรุงที่เป็นผลไม้รสเปรี้ยว หรือของดี ๆ สำหรับคนตั้งครรภ์ และเริ่มขึ้นต้นคำว่า “ศรี...ศรี...” แต่จะมีคำร้องที่ไม่เหมือนกัน 



“ศรี...ศรี... วันนี้วันดี เป็นศรีเลิศล้น ขอเชิญขวัญแม่โพสพในนาเข้ามาอยู่ในยุ้งฉางในวันนี้ ขวัญแม่อย่าหนี อย่าได้ตกใจ เมื่อลมพัดสะบัดไป ไม้ร่วงหล่นในไพสณฑ์ แม้นสันจรอยู่ในห้วงลึกก็กลับมา ขวัญแม้อย่าได้หลงกลสิงสาราสัตว์ แม้ถูกเขี้ยวงูกอดรัดอย่าตกใจ แม้นจะถูกไถคราด ถูกฟันฟาดลงไป ถูกขบกินเป็นอาหาร ขวัญแม่โพสพนั่นหนา ขวัญแม่อย่าได้หยุดหน่ายหนี จงอยู่มาเป็นศรีในยุ้งฉาง ขอเชิญแม่ชมงานบายศรี มากมีทั้งคาวหวาน สารพัดของจัดสังเวยบวงสรวง...”


 
หลังจากเสร็จสิ้นพิธี ก่อนจะแยกออกไปเวียนเทียนเราได้เจอกับนิด-กนิษฐา ศรีไต่ขำ ลูกสาวของคุณป้าประเสริฐ ศรีไต่ขำ ที่มาช่วยงานในวันนี้ตลอดทั้งวัน นิดเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ เธอก็ไม่เคยรู้จักการก่อเจดีย์ข้าวเปลือกมาก่อนเลย ตอนเด็ก ๆ เคยทันได้เห็นคุณยายกับคุณแม่เตรียมขนม ทำถั่วตัดไปไหว้แม่โพสพที่หัวคันนา แต่ก็ไม่ได้ลงไปร่วมทำพิธีด้วย
 
“เราได้มาร่วมตั้งแต่ปีแรก แต่เพิ่งได้มาช่วยเต็มตัวเมื่อปีก่อน พอเราได้มาทำตรงนี้ก็รู้สึกว่าเป็นพิธีที่สวยงาม เหมาะที่จะสืบสานต่อไป แล้วยิ่งพอได้เห็นคนที่มาทำบุญสนใจ อยากรู้ว่าเป็นประเพณีอะไร เราก็ยิ่งรู้สึกภูมิใจที่ได้เกิดเป็นชาวนา” 
 
จากที่คิดว่าประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือกจะกลับมาสืบทอดอีกครั้งได้นานแค่ไหน แต่หลังจากที่ได้เห็นการร่วมแรงรวมใจของชาวคลองนกกระทุง เห็นพลังของรุ่นลูกหลานที่เห็นถึงคุณค่า ความสวยงามของประเพณีที่มีมาแต่นมนาน ข้าวและแม่โพสพก็จะยังคงอยู่ในวิถีชีวิตของเกษตรอินทรีย์ได้อย่างไม่มีวันแยกจากกัน  
 
 
______________________
 
เรื่องและภาพ: มานู สะตี และศาลานา 



เรื่องที่น่าสนใจ

สูตรบอกรักครอบครัวผ่านจานข้าว สไตล์คุณพ่อบ้าน

เราได้ยินคำว่าสังคมผู้สูงอายุกันมาหลายปี พอจะรู้อยู่บ้าง ว่าบ้านเราเริ่มมีประชากรสูงวัยมากขึ้นกว่าเก่า แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทันได้ตั้งตัว

เรื่องดัก ‘เก๋า’ เกี่ยวกับข้าว ที่ยังหอมฉุยอยู่ในความทรงจำ

กินข้าวขาวอย่างเดียวมันธรรมดาไป! ทุกวันนี้เราเชื่อว่าแทบทุกบ้านมีข้าวสารหลากสีไว้ติดครัว

“จงใช้อาหารเป็นยารักษาโรค” คือปรัชญาในการรักษาโรคที่ฮิปโปเครติส บิดาทางการแพทย์ของชาวกรีกกล่าวไว้มานานกว่า 2500 ปี